Stack น้อยกว่า 12 big blind: วิธีการเล่น preflop
SNG Advance Play เมื่อ blind ขยับเพิ่มสูงขึ้นและชิพของเราลดลงต่ำกว่า 12 big blind ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเพิ่มความ aggressive และเล่น hand มากขึ้น ในการเล่นในตอนนี้เราจะ raise ด้วยชิพทั้งหมดหรือไม่ก็ fold
ขั้นตอนที่ 1: ตำแหน่งของเรา / ตำแหน่งของคู่ต่อสู้?
เหมือนเช่นเคย เราจำเป็นต้องรู้ player position แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ตำแหน่งของเรา เพราะมันมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างสถานการณ์ที่เราต้องเป็นคนแรกที่แอคชั่น และสถานการณ์ที่เราได้เห็นคู่ต่อสู้เริ่มแอคชั่นด้วย bet / raise หรือ call มาก่อน
- ทุกคนก่อนหน้า fold หมด: ใช้ position ของเรา
- นอกนั้น: ให้ใช้ position ของผู้เล่นที่ call / bet หรือ raise เป็นคนแรก
ขั้นตอนที่ 2: เราเหลือชิพอีกกี่ big blind?
ต่อมาเราจะต้องรู้อย่างชัดเจนว่ายังเหลือชิดอยู่อีกกี่ big blind
ขั้นตอนที่ 3: เราจะ all-in หรือ fold?
ใช้ position ของเราหรือ position ของคู่ต่อสู้แล้วดูจากตารางด้านล่าง ที่จะบอกว่าไพ่แบบไหนที่เราจะ all-in โดยจะใช้ตารางแรกเมื่อทุกคนก่อนหน้า fold หรือตารางที่สองกรณีมีใครเริ่มแอคชั่นมาก่อนหน้า
ข้อยกเว้น: เมื่อไหร่ก็ตามที่มีผู้เล่นอย่างน้อย 2 คนที่ได้ all-in มาก่อนหน้า เราจะ all-in ด้วย AA, KK, QQ, JJ และ AK และจะ fold โดยไพ่อื่นทั้งหมด
สามคอลัมน์สุดท้ายแสดงไพ่ที่จะใช้ all-in โดยแต่ละคอลัมน์แสดงไพ่ในแต่ละกลุ่ม Offsuit Card / Suited Card / Pair
เพื่อให้แสดงได้ง่าย เราได้รวมกลุ่มของไพ่ที่คล้ายกัน
- “AA-66” มี AA, KK, QQ, JJ, TT, 99, 88 77, 66
- “AK-AT” มี AK, AQ, AJ, AT
- “KQ-KT” มี KQ, KJ, KT.
ถ้าไพ่ของเราแสดงอยู่ในสามคอลัมน์สุดท้าย ก็ให้ all-in ไม่เช่นนั้นก็ fold
ตัวอย่างที่ 1:
ไพ่ของเรา: ตำแหน่ง: Middle stack: 7 big blind
สถานการณ์: player เหลืออยู่อีกเพียง 7 คนใน tournament ผู้เล่นก่อนหน้าเรา fold หมด
แอคชั่น: เรา all-in โดยจะอ้างอิงจากตารางแรกที่ใช้เมื่อทุกคนก่อนหน้า fold ซึ่งตารางได้แนะนำว่าเมื่อมีชิพเหลืออยู่ 9 ถึง 6 big blind เราควรจะ all-in ด้วย “QJ-Q8” ถ้าเป็นไพ่ suited และไพ่ Q9 ของเราก็อยู่ในกลุ่มนี้ ทำให้ในเคสนี้เราจะ all-in ด้วยไพ่ queen ทุกใบถ้าไพ่ใบที่สองเป็น 8 หรือสูงกว่าและต้องเป็น suit เดียวกันด้วย
ตัวอย่างที่ 2:
ไพ่ของเรา: ตำแหน่ง: Late stack: 12 big blind
สถานการณ์: player เหลืออยู่อีกเพียง 7 คนใน tournament ผู้เล่นก่อนหน้าเรา fold หมด
แอคชั่น: เรา all-in และเป็นอีกครั้งที่เราจะอ้างอิงจากตารางแรก โดยครั้งนี้ในแถวสุดท้ายสำหรับ “Late and Blinds” position และ stack “12-1” big blind และดูว่าไพ่ของเราแสดงอยู่ในคอลัมน์ “Offsuit Cards” หรือไม่ ซึ่งเราจะเห็นว่ามี K5 อยู่ในกลุ่ม “KQ-K4” นั่นหมายความว่าในเคสนี้เราจะ all-in ด้วยไพ่ king ทุกใบถ้าไพ่ใบที่สองเป็น 4 หรือสูงกว่า
ตัวอย่างที่ 3:
ไพ่ของเรา: ตำแหน่ง: Blind stack: 5 big blind
สถานการณ์: player จาก late position all-in คนอื่น fold หมด
แอคชั่น: เรา all-in โดยครั้งนี้เราจะดูจากตารางที่สอง ซึ่งใช้เมื่อมีผู้เล่นอีกคน call หรือ raise มาก่อน โดยเราต้องดูที่แถวล่างสุดเพราะเป็น “Blinds” position และมี stack อยู่ไม่เกิน big blind ซึ่งเราจะเห็นว่าไพ่ QJ ของเราแสดงในคอลัมน์ “Offsuit Cards” เราจึง all-in
Stack น้อยกว่า 12 big blind: วิธีการเล่น postflop
สถานการณ์เดียวที่เราจะได้เห็น flop โดยไม่ all-in คือเมื่อเราเป็นคนลง big blind และ check preflop ในเคสนี้เราจะเล่น “Bet/Raise” ด้วย top pair (หรือดีกว่า) และทุก strong draw และจะ “Check/Fold” ด้วยไพ่อื่นทั้งหมด
Advance play: เมื่อคู่ต่อสู้ทุกคนมีน้อยกว่า 12 big blind
อาจมีสถานการณ์ที่เรามี stack มากกว่า 12 big blind แต่ผู้เล่นหลังเราทุกคนมีน้อยกว่า 12 big blind ตามปกติแล้วเราจะเล่นเหมือนที่ได้เรียนรู้ไปในตอนต้นของบทความนี้ แต่ในเคสพิเศษนี้มันจะยิ่งดีกว่าที่จะเล่นตามนี้:
- ถ้าไม่มีใครเข้ามาในเกมก่อนเรา ให้ใช้ตาราง all-in ด้วยจำนวน blind ตาม stack สูงสุดที่ผู้เล่นหลังเรามีอยู่
- ถ้ามีใครเข้ามาในเกมก่อนเรา โดยที่เขาและพูดเล่นหลังเราทั้งหมดมีน้อยกว่า 12 big blind ให้ใช้ตาราง
Re-All-In ด้วยจำนวน blind ตามที่ผู้เล่นก่อนหน้าเรามีอยู่
Bankroll Management
สิ่งสุดท้ายที่เราต้องทำความเข้าใจคือ bankroll management โดยเราควรคิดถึงจำนวนเงินที่เหมาะสมที่เราพร้อมจะลงทุนในเกม poker นั่นคือ bankroll ของเรา
เพื่อปกป้องการลงทุนและให้มั่นใจว่าเราจะสำเร็จในอาชีพ poker อย่างยั่งยืน เราไม่ควรจะลงทุนมากเกินกว่า 1-2% ของ bankroll ในหนึ่งเกม SNG นั่นหมายความว่าเราจะต้องมีอย่างน้อย 50-100 buy-in แต่จำไว้ว่านี่ไม่ใช่กฎที่ตายตัว เพราะ bankroll management strategy ที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ระดับ buy-in / tournament speed (regular/turbo/hyperturbo) / จำนวนผู้เข้าแข่งขัน หรือการจ่ายเงินรางวัล
Bankroll management ที่ไม่เคร่งครัดจะทำให้เราขยับไปเล่นเกมที่สูงขึ้นได้เร็วกว่า แต่ก็จะมีความเสี่ยงที่ต้องขยับลงเร็วกว่าเช่นกันเมื่อเจอกับช่วง run bad ในทางตรงกันข้าม การมี buy-in มากขึ้นจะปลอดภัยกว่า แม้เราจะขยับไปเกมที่สูงขึ้นช้าลง แต่ก็จะมีความเสี่ยงในการขยับลงน้อยลงด้วย ซึ่งท้ายที่สุด มันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา